ทฤษฎีการพลิกผัน หรือ The
theory of disruption หากเราทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ ก็จะทำให้นักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ
ผู้วางนโยบาย ผู้นำ และผู้บริหารในทุกภาคส่วน มีมุมมองใหม่ (New
perspective) ซึ่งนวัตกรรมที่จะทำให้เกิดการผลิกผัน (Disruptive
innovation) ถือว่ามีรูปแบบที่มีพลวัตร (Dynamic) สูงมาก ที่จะทำให้อุตสาหกรรมเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด
เพราะสามารถไปปลดล็อคการเติบโตทางเศรษฐกิจและสวัสดิการสังคมได้
Disruption จะทำให้เกิดพลังที่เรียกว่า “การทำลายอย่างสร้างสรรค์ (Creative
destruction)” ทำให้เกิดการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
ด้วยการจัดสรรทรัพยากรรูปแบบใหม่ ทำลายรูปแบบดั้งเดิมที่ไร้ประสิทธิภาพ
โดยจะทำให้เพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการผลิต
อีกทั้งทำให้ราคาลดต่ำลงอย่างมาก จนเกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม
อีกมุมหนึ่ง disruption จะไปผลักดันทำให้เกิดการพัฒนาสวัสดิการสังคมด้วยการ
“สร้างอย่างสร้างสรรค์ (Creative construction)” ซึ่งถือได้ว่ามีพลังอำนาจอย่างมาก
เช่น องค์กรต่างๆ จะต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ จากการควบคุม
ไปเป็นการส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการมองหาโอกาสใหม่
ซึ่งจะทำให้การรวมพลังจากคนจำนวนมหาศาลมาร่วมกันสร้างจนทำให้ไม่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
2-3 คนมาทำงานอีกต่อไป
และจะสามารถสร้างสิ่งใหม่ที่ในอดีตที่ไม่สามารถทำได้มาก่อน ตัวอย่างเช่น Wikipedia
เป็นต้น ซึ่งเป็นตัวอย่างหนึ่งของการ disruption ให้ Encyclopedia ต้องอวสานลง จนเปิดโอกาสให้คนทั้งโลกเข้าถึงความรู้ด้วยราคาที่ต่ำมากและไม่จำเป็นต้องง้อตำราใดๆ
ความสะดวกสบายมีมากขึ้น ราคาลดต่ำลง
การเข้ามาใช้งานจากผู้บริโภคสูงขึ้นอย่างมหาศาล ก็จะส่งผลให้เกิดการ disruption ในที่สุด ดังนั้น
จึงทำให้เราเริ่มเห็นบริษัทที่บริหารงานแบบเดิม ท่ามกลางเครื่องมือดิจิทัลใหม่ๆ
ที่ทรงพลังและราคาถูก กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกบริษัทยุคใหม่เข้ามาท้าทาย
การเกิด disruption จะทำให้ผู้บริโภคได้รับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่พวกเขาไม่เคยได้
ไม่ว่าจะเป็นใช้งานง่าย (โดยไม่ต้องมีความรู้ความชำนาญ) เข้าถึงช่องทางจัดจำหน่ายง่าย
วิธีจ่ายเงินง่าย ซึ่งความง่ายเหล่านี้
ผู้บริโภคไม่เคยได้รับจากผลิตภัณฑ์และบริการประเภทนี้มาก่อน
จึงเป็นการปลดล็อคที่ผู้บริโภคจำนวนมากที่ไม่เคยบริโภคสินค้าและบริการประเภทนี้มาก่อน
กระโดดเข้ามาใช้เป็นจำนวนมหาศาล ด้วยราคาที่สมเหตุสมผล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น